วินแคลริช(WIN CALRICH)ผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม
วิน แคลริชเหมาะสำหรับเด็กที่ต้องการการเจริญเติบโต นักกีฬา สตรีตั้งครรภ์ และให้นมบุตร บุคคลทั่วไปที่ต้องการสะสมแคลเซียม เพื่อเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงสตรีวัยหมดประจำเดือน และผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนและโรคอื่นๆ อันเนื่องมาจากการขาดแคลเซียม
ผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม วินแคลริช เพื่อสุขภาพกระดูกและฟันที่แข็งแรง เหมาะสำหรับเด็กที่ต้องการเจริญเติมโต นักกีฬา สตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร บุคคลทั่วไป ที่ต้องการสะสมแคลเซียมเพื่อเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง สตรีวัยหมดที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนและโรคอื่นๆ อันเนื่องมากจากการขาดแคลเซียม
ความโดดเด่น 7 ประการของผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม วิน แคลริช: 1.มีปริมาณแร่ธาตุแคลเซียมสูงสุด (เกลือแคลเซียมคาร์บอเนตมีแร่ธาตุแคลเซียมสูงถึง 40%)
2.ผลิตด้วยกรรมวิธีอีเล็กโตรไลซิส ทำให้ได้แคลเซียมในรูปแบบแตกตัว (lonized Calcium) พร้อมดูดซึมที่ทางเดินอาหารทันที
3.ดูดซึมได้ดี มีค่าชีวประสิทธิผล (Bioavailability) สูงถึง 97.4% (จากการทกสอบของ the Japan Food Laboratory)
4.ละลายน้ำได้ง่าย ใช้เวลาแตกตัวในทางเดินอาหารเพียง 4 นาทีเท่านั้น (ตามข้อกำหนดของ USP Pharmacopeia แคลเซียมรูปแบบเม็ดต้องใช้เวลาในการแตกตัวในทางเดินอาหารน้อยกว่า 30 นาที)
5.ปราศจากน้ำตาล จึงปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือ ผู้ที่แพ้นมวัว
6.เม็ดเล็ก รับประทานง่าย ไม่ทำให้ท้องผูก
7.ใช้ Oyster Shell ที่เพาะเลี้ยงอย่างดี ปราศจากโลหะหนักและสารตะกั่ว คัดพิเศษด้วยมือก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตที่โรงงาน ซึ่งมีประสบการณ์ในการผลิตแคลเซียมชนิดเม็ดมากกว่า 30 ปี วิน แคลริช
1 เม็ด ประกอบด้วย Oyster Shell Calcium Powder 255 มิลลิกรัม ซึ่งมีแร่ธาตุแคลเซียม 127.5 มิลลิกรัม
โรคกระดูกพรุน คืออะไร ?
โรคกระดูกพรุน คือ "ภาวะที่กระดูกทั่วร่างกายมีมวลกระดูกลดน้อยลงและมีการเสื่อมสลายของเนื้อเยื่อกระดูก จนทำให้กระดูกนั่นเปราะบางและแตกหักง่ายกว่าปกติ"
ในการเจริญเติบโตของคนเรา จะมีการสะสมเพิ่มปริมาณของมวลกระดูกหรือเนื้อกระดูกอยู่ตลอดเวลา เห็นได้จากการที่เด็กโตขึ้นสูงใหญ่ขึ้นนั่นเอง การสะสมของมวลกระดูกจะเร็วหรือช้าต่างกันในแต่ละช่วงอายุโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในช่วงก่อนเข้าสู่วัยรุ่นจะมีการเจริญและสะสมมวลกระดูกมากและเร็วที่สุด หลังจากนั้นการสะสมชองมวลกระดูกจะเริ่มช้าลง จนเมื่อเข้าสู่ช่วงที่เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือ ช่วงประมาณอายุ 25 - 30 ปี การสะสมของมวลกระดูกจะหยุดลง ซึ่งเราจะเรียกระดับของมวลกระดูกในขณะนั้นว่า " ระดับมวลกระดูกสูงสุด" (Peak bone mass)
ซึ่งจะแตกต่างกันตามปัจจัยทางพันธุกรรมของแต่ละบุคคล, เพศ, เชื้อชาติ และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น ภาวะทางโภชนาการ , การออกกำลังกาย และภาวะต่าง ๆ ที่มีผลต่อระดับฮอร์โมน มวลกระดูกจะคงที่อยู่เช่นนั้นอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง จนถึงช่วงอายุประมาณ 35 - 40 ปี ระดับมวลกระดูกจะเริ่มลดลงอย่างช้า ๆ ประมาณ 0.5 - 1 % ต่อปีทั้งในเพศหญิงและเพศชาย
แต่ในเพศหญิงจะมีปรากฎการณ์ที่ทำให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกเพิ่มมากขึ้นอีกนั่นก็คิอ "ภาวะหมดประจำเดือน" (Menopause) ซึ่งเป็นตัวเร่งทำให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกเร็วขึ้นถึง 3 - 5 % ต่อปี ทั้งนี้ในแต่ละคนจะมีอัตราการสูญเสียมวลกระดูกไม่เท่ากัน กว่าที่จะสูญเสียมวลกระดูกจนถึงระดับที่กระดูกมีความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักกรือที่เราเรียกว่า "กระดูกพรุน" แล้วจะใช้เวลาไม่เท่ากัน บางคนใช้เวลา 20 - 30 ปี แต่ในบางคนใช้เวลาเพียง 10 ปีเท่านั้น สรุปง่าย ๆ คือ ในทุกคนถ้ามีอายุยืนยาวพอก็จะต้องเป็นโรคนี้
ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคนี้ ?
ได้มีการศึกษาและวิจัยอย่างกว้างขวางว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ง่าย และมีคนในกลุ่มใดได้บ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ เราจะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า " กลุ่มเสี่ยง " ซึ่งได้แก่
ผู้สูงอายุทั้งเพศหญิงและเพศชาย ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนยิ่งหมดประจำเดือนมานาน ก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น ผู้หญิงที่ได้รับการผ่าตัดเอารังไข่ออกหรือมีภาวะ ที่รังไข่หยุดทำงานก่อนวัยอันควร
1.ผู้ที่มีรูปร่างผอมบาง , มีน้ำหนักน้อยเมื่อเทียบกับความสูง
2.ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน หรือเคยกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน
3.ผู้ที่ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่จัด
4.ผู้ที่ได้รับยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาสเตียรอยด์ , ยากันชัก , ยาไทร็อกซิน ฯลฯ
5.ผู้ที่เป็นโรคบางโรค เช่น โรครูมาตอนด์ , โรคต่อมไทรรอยด์เป็นพิษ , โรคของต่อมไร้ท่อบางชนิด ฯลฯ
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้ ?
การที่เราจะรู้ได้ว่า เราเป็นโรคกระดูกพรุนหรือไม่นั้นเป็นไปได้จาก 2 กรณีคือ
1.ในระยะที่แสดงอาการภาวะกระดูกพรุนจะมีอาการก็ต่อเมื่อมีกระดูกหักเกิดขึ้นทั้งที่เป็นการกระทบกระแทกหรือจากกระดูกหักเราะรับน้ำหนักตัวที่มาก ๆ ซึ่งพบได้ที่ตำแหน่งของกระดูกสันหลัง , กระดูกข้อมือ ,และกระดูกสะโพก
2.ในระยะที่ยังไม่แสดงอาการ ซึ่งในกรณีนี้ก็จะต้องใช้การตรวจวัดปริมาณความหนาแน่นของมวลกระดูก (BMD = Bone Mineral Density) เท่านั้นจึงจะบอกได้
ดูข้อมูลที่ http://wincalrichelken.blogspot.com
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
คุณ วีระชัย ทองสา โทร. 085-0250423 , 084-6822645
อีเมล์ weerachai.coffee@hotmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น